วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557


1.ว่านรางจืด

ชื่อวิทยาศาสตร์ Milletia Kitana
วงศ์ถั่ว Leguminosae
วงศ์ย่อย Subfamily Papilioneae
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นๆ เลื้อยไปตามความเจริญงอกงามของต้นและเถาเป็นช่วง ๆขาว
ใบ รูปร่างค่อนข้างยาว มีสีเขียวคล้ายใบสะค้าน หรือใบหญ้านาง แต่ใบใหญ่กว่าบางกว่า และมีสีอ่อนกว่ามาก
ดอก ออกเป็นช่อ กลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบโค้งมนแยกจากกันตั้งแต่โคนกลีบ กลีบดอกสีม่วงอ่อน โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกระพุ้มสีเหลือง
รางจืดเถามี 3 ชนิด คือ ชนิดดอกสีม่วง ดอกสีเหลือง และดอกสีขาว ปลูกเป็นไม้ดอกเลื้อยพาดพันแผงไม้เป็นฉากได้สวยงาม
ชนิดดอกสีม่วง ใช้ใบและราก ปรุงเป็นยาได้ดีกว่าชนิดอื่นๆ

ประโยชน์ทางยา
รสเย็น ใช้ถอนพิษยาเบื่อเมา ปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ และพิษทั้งปวง
รากและเถา ต้มรับประทายเป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษร้อนทั้งปวง

ความเชื่อเถือ
นำเนื้อไม้จากเถาหรือราก เหน็บไว้ข้างฟัน กล่าวกันว่าดื่มสุราจะไม่เมา

วิธีปลูก
ปลูกด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอน ชอบดินร่วน ต้องทำค้างไม้ให้เถาเลื่อยพาดพัน ชอบแดด


2.ว่านไพรดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber spectabile (Griff)

วงศ์ขิง Zingiberaceae

ชื่อสามัญ ว่านไพรดำ / ไพลสีม่วง / ตากเงาะ (ไทยปัตตานี) จะเงาะ (มาลายูปัตตานี)

ลักษณะ ลำต้น ขึ้นเป็นกอสูง 1.5- 2 เมตร                                                                                                 ใบ ยาว20-30 ซ.ม. กว้าง 5-6 ซ.ม. ปลายใบเรียวแหลมใบเรียบเกลี้ยงไม่มีขน เนื้อในหัวมีสีม่วงจางๆ     ช่อดอก ออกตรงจากหัว ก้านช่อดอกยาว 30 ซ.ม. ช่อดอกเป็นรูปไข่ยาวแดงใหญ่สดุดตา กาบหุ้มดอกเป็นรูปไข่มนๆแข็งหนามีสีแดง ดอกย่อยสีเหลืองนวลๆ กระเปาะดอกสีเหลืองมีประและขีดสีม่วง รูป 3 แฉกมนๆ ยาวราว 15 ม.ม. แฉกกลางเว้าปลายเล็กน้อย มีช่อดอกเดียวต่อก้าน

เป็นว่านที่หายากชนิดหนึ่ง เนื่องจากเลี้ยงยาก อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจเลี่ยงให้เหมือนธรรมชาติ
วิธีพิสูจน์ว่าเป็นว่านไพลดำแท้หรือไม่ ให้ใช้หัวว่านนี้ขีดบนฝาหม้อดิน แล้วนำไปปิดหม้อข้าว เมื่อหุงข้าวด้วยหม้อนั้น จะปรากฏว่า ข้าวจะดำหมดทั้งหม้อ ถ้าเป็นเช่นนี้จึงจะเป็นว่านไพลดำที่แท้จริง

ประโยชน์ทางยา
ว่านไพลดำใช้แก้กระเพาะอาหารเป็นพิษ ลำไส้เป็นแผล แก้ช้ำแก้บวมทั้งตัว เป็นยาบำรุงกำลัง และเป็นยาอายุวัฒนะ เป็นว่านที่แก้อาการบอบช้ำได้ดีมาก

ความน่าเชื่อถือ

วิธีปลูก
ใช้ดินดำเป็นดินปลูก ถ้าเอาดินสีอื่นมาปลูกว่านนี้จะตายภายใน 3 วัน เพราะว่านนี้เจริญงอกงามได้ดีในดินสีดำเท่านั้น รดน้ำเล็กน้อยพอชุ่ม

 

3.ว่านไพรขาว

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Zingiber kerri (craib)
วงศ์ขิง Zingiberaceae
ลักษณะ ต้นใบและหัว เหมือนกับว่านไพลดำทุกอย่าง ผิดกันที่เนื้อในหัวมีสีเขียว

ประโยชน์ทางยา
สมัยโบราณนิยมโขลกไพลให้เหลว ชโลมตัวเด็กแรกเกิด นัยว่าเป็นการป้องกันเชื้อโรคอันจะเกิดบนผิวหนัง มักใช้ควบคู่กับขมิ้นผง ผู้ต้องโทษทัณฑ์ถูกเฆี่ยนหลังด้วยหวายหนังแตกปริแยกขึ้นเป็นแนว วิธีปฐมพยาบาลสมัยก่อน ได้อาศัยไพลขาวโขลกจนแหลกป้ายทา ระงับความเจ็บปวดอันเกิดจากพิษบาดแผล และช่วยรักษาและให้หายเร็ว

ความน่าเชื่อถือ
ว่านนี้มีคุณในทางคงกระพันชาตรี เมื่อเคี้ยวกันหัวว่านไพรขาวเข้าไปแล้ว จะสามารถอยู่ยงคงกระพันชาตรีได้เป็นเดือนๆ เวลาจะใช้ให้เสกด้วยคาถา โสพัส พุทธะหรือคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ ดังนี้ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะนะ อะกะอัง” 3 จบ และถ้าเคี้ยวกินได้ทุกๆวันจนครบ 3 เดือน กล่าวกันว่าจะคงกระพันชาตรีตลอดไป

วิธีปลูก
นำดินเผาไฟทุบจนป่นแหลก มาใช้เป็นดินปลูก กลบดินอย่าได้มิดหัวว่าน อย่ากดดินแน่น เสกน้ำด้วยคาถา อิติปิโสภควา จนถึงภควาติ” 3 จบ ก่อนรดน้ำทุกครั้ง พอเปียกชื้นอย่าให้แฉะ


4.ว่านเพชรสังฆาต

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus quadrangularis Lim.
วงศ์ Ampelidceae
ชื่อสามัญ ว่านเพชรสังฆาต / สังชะคาด / สามร้อยต่อ / สามร้อยข้อ / ขันข้อ / ชาวจีนเรียกแป๊ะฮวยหันขัดเข่า
ลักษณะ เป็นเถาลำต้นเหลี่ยมลึก 4 พู โตประมาณ 1 ซ.ม. ตามข้อของเถาคั่น เป็นข้อๆคล้ายเอาเข้ามาชนกัน ข้อหนึ่งๆยาวประมาณ 10 ซ.ม. ตามข้อของเถานี้มีมือจับสีเขียวคล้ายมือจับ ของบวบหรือตำลึง
ที่โคนเถาตรงที่พ้นดินขึ้นมา บิดเป็นเกลียว มี 2-3 พู ไม่เป็น 4 พู มีสีใบตองแห้ง เถาเมื่อพาดพันขึ้นตามต้นไม่แล้ว จะแตกกิ่งก้านสาขาห้อยย้อยเป็นพุ่มมีสีเขียว
ใบ คล้ายใบตำลึง ออกตรงข้อๆละ 1 ใบ ขอบใบเป็นจักรหยาบๆมีสีแดง ใบยาว 2-4 ซ.ม.ก้านใบยาว 1 ซ.ม. ไม้เถานี้มีใบไม่มาก ยอดอ่อนที่แตกออกมาใหม่ๆมีสีแดง
ดอก ออกเป็นช่อแบนแน่นเป็นกระจุก ขนาดเมล็ดผักชีมีสีแดง
ผล กลมๆ มีสีเขียว โตขนาดลูกเดือย

ประโยชน์ทางยา
เถากินแก้กระดูกแตก หักชัน และขับลมในลำไส้
รับประทานเถา วันละข้อ 1 ข้อ จนครบ 3 วัน กล่าวกันว่า แก้รีดสีดวงทวาร ทั้งชนิดกลีบมะไฟและเดือยไก่

วิธีปลูก
ตัดข้อเป็นท่อนๆ ชำในทรายหยาบหรือลงดินพอออกราก จึงค่อยแยกปลูกลงดินหรือกระถาง จะปลูกในกระถางแขวนก็ได้ควรหาที่ให้มีที่เกาะเลื้อยไป หรือเกาะรั้วซุ้มหน้าบ้านขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด

 

5.ว่านน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Acorus calamus Lin.
วงศ์บอน
ชื่อสามัญ ว่านน้ำ / ว่านน้ำจืด / รางคาวน้ำ / หัวงอ / หัวชะงอ / ว่านน้ำขาว
ลักษณะ เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นตามที่ขึ้น มีน้ำขังหรือน้ำขึ้นน้ำลง
ลำต้น แข็งเป็นข้อสีแดงเรื่อๆซอนยาวไปตามดินเลน
ราก เล็กเป็นฝอยยาวยึดหัวไว้
ใบ เล็กสีเขียว ยาวแบนคล้ายใบว่านหางช้างแต่เล็กกว่ามาก แตกออกเป็นแผงช่วงๆถี่ยาวปลายแหลม มีกลิ่นฉุนแรงทั้งใบหัวและราก

ประโยชน์ทางยา
ใช้หัวว่านน้ำโขลกให้แหลกหนักประมาณ 60 กรัม ต้มในน้ำเดือด 500 ซีซี รับประทานมื้อละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง แก้ปวดท้อง จุกเสียดแน่น แก้บิด มูกเลือดในเด็ก แก้หวัดลงคอได้ดี
ใช้หัวว่านน้ำฝนกับเหล้าขาว เจือน้ำเล็กน้อย ทาหน้าอกเด็ก เป็นยาดูดพิษ แก้ความอักเสบของหลอดลมและปอด
ใบว่านน้ำสดๆ ตำให้ละเอียดผสมน้ำ สุมหัวเด็กแก้ปวดหัวและพอกตามที่ปวดกล้ามเนื้อ ตามข้อได้ ถ้าเอาใบไปตำรวมกับใบชุมเห็ดเทศ ทาผิวหนังได้ผลมาก
เอาหัวว่านน้ำตากแห้ง แล้วมาหันเป็นชิ้นเล็กๆอมเป็นยาแก้ไอ จะมีกลิ่นหอมเวลาหายใจ เป็นยาแก้เส้นกระตุก แก้ปวดท้อง แก้ลม บำรุงหัวใจ
ชาวอินเดียใช้ปรุงเป็นยาระบายและคุมธาตุไปในตัวด้วยอีกทั้งเป็นยาเบื่อแมลงต่างๆ เช่น แมลงวัน
รับประทานมากเกิน 2 กรัม จะทำให้คลื่นเหียนอาเจียน
ใช้เป็นยาแก้หืด รับประทาน 1-1.5 กรัมในครั้งแรก และลดลงเหลือ 0.5 กรัมทุก 2-3 ชั่วโมง จนอาการหอบหืดค่อยทุเลาเป็นยาขับเสมหะในโรคหืดเป็นอย่างดี
รากว่านน้ำเผาไฟจนเป็นเถ้าถ่าน บดเป็นผงรับประทานมื้อละ 0.5-1.5 กรัม เป็นยาถอนพิษของสลอด แก้โรคลงท้อง ปวดท้องของเด็ก


6.ว่านนางล้อม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Anamiria Cocculus (W&A)
วงศ์บอระเพ็ด Menispermaceae
ลักษณะ หัว กลมเกลี้ยงเป็นสีเขียว ตามหัวไม่มีเกล็ดเหมือนว่านพญาลิ้นงู จะมีหัวย่อยๆแตกล้อมหัวใหญ่
ใบ เล็กยาวคล้ายใบกุยช่าย โคนใบแดงเรื่อๆใบล้อมต้นคล้ายกงจักร มีส่วนคล้ายว่านชัยมงคล ว่านนางล้อมชนิดนี้ไม่มีดอก

ประโยชน์ทางยา
ใบโขลกกับน้ำสุรา รับประทานแก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ทุกชนิด
หัวใช้ตำพอกดับพิษต่างๆได้ชงัด

ความน่าเชื่อถือ
ปลูกไว้กับบ้านเป็นมหามงคล ปกป้องคุ้มครองบ้าน พกพาหัวติดตัวเดินทางจะช่วยป้องกันสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ศัตรูหมู่มิตรทั้งหลาย จะพ่ายแพ้แก่ผู้มีว่านชนิดนี้ติดตัว
ก่อนจะใช้ให้ว่าคาถา เมกะมะอุ นะโม พุทธายะ” 7 จบ

วิธีปลูก
ใช้หัวปลูกในดินร่วนปนทราย หรือดินเผาไฟทุบละเอียดปนทราย ลงกระถางปากกว้างทรงต่ำ ขนาดค่อนข้างใหญ่วางหัวว่านลงกลางกระถาง กลบดินเพียงครึ่งหัว
ก่อนรดน้ำเสกด้วยคาถา นโมพุทธายะ” 3 จบ รดน้ำพอเปียกชุ่มดินทั่วกระถางอย่าให้น้ำขังได้
ปลูกตอนแรก ควรตั้งไว้ในที่ร่มรำไร ตั้งไว้ในที่สูงอันควร อย่าให้ใครข้าม เพื่อความขลังควรปลูกในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น


7.ว่านนกคุ้ม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Eurycle amboinensis (Loud)
วงศ์ Amaryllidaceae
ลักษณะ หัว คล้ายว่านกระชายดำ กลมๆ ติดกันพืดเป็นแง่ง
ใบ ม้วนแทงขึ้นมาจากหัว ครีมขอบใบแดงแล้วค่อยๆกางคลี่ใบทีหลัง หน้าใบมีลายคล้ายกับปีกนกเป็น3 แถบ ก้านใบขาว ต้นสูงไม่เกินคืบ
ลำต้น สีขาวปนเหลืองอ่อนๆ
ดอก สีขาวมีสีม่วงแซม มี 3 กลีบ เวลาใบงามเต็มที่ลวดลายสวยงามมากคล้ายลายของนกคุ้ม จึงมีชื่อว่า ว่านนกคุ้ม
อีกตำราหนึ่งกล่าวว่า ลักษณะใบเหมือนใบจำปี หลังใบมีลายคล้ายปีกนก 3 แถบ ท้องใบมีสีแดง ต้นยาวไม่เกินคืบ ลักษณะลำต้นมีสีเหลืองอ่อน

ความน่าเชื่อถือ
ปลูกไว้ในบ้านจักให้คุณในทางป้องกันภัยต่างๆโดยเฉพาะป้องกันอัคคีภัยได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

วิธีการปลูก
ใช้หัวปลูกในดินร่วนปนทรายหยาบ หรือใช้ดินเผาไฟทุบให้แหลกผสมทรายที่ล้างน้ำสะอาดสักเล็กน้อย กระถางที่ใช้ปลูกปากบานทรงต่ำ ขนาดค่อนข้างใหญ่วางหัวว่านให้ตรงกลับดินพอมิด ก่อนรดน้ำเสกด้วยคาถา นโมพุทธายะ” 3 จบ แล้วจึงรดน้ำ พอเปียกชุ่ม อย่าให้ถึงแฉะ ควรปลูกในวันอังคาร เดือนหก ข้างขึ้น

 

8.ว่านช้อนนางรำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Dasmdoium gyranas Dc.
วงศ์ถั่ว Leguminosae
ชื่อสามัญ นางรำ / ช้อนนางรำ / แผวแดง (อรัญญ) / ว่านมีดยับ (ภาคเหนือ) / ว่านกายสิทธิ์หรือว่านนางกวัก (โบราณ)
ลักษณะ เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ลำต้นโตไม่เกินนิ้วก้อย ต้นสูงไม่เกิน 1 เมตร ผิวของลำต้นเป็นสีเทา
ใบ สีเขียวรูปไข่ ขอบใบเรียบ ปลายใบมัน ใบยาวประมาณ 7 ซ.ม. กว้าง 3 ซ.ม. ก้านใบยาว 2.5 ซ.ม. จากใบใหญ่ลงมาตามก้านใบราว 1 ซ.ม. มีใบย่อย 2 ใบ ขนาดเท่ากัน (มีรูปร่างเหมือนใบใหญ่) กว้างประมาณ 1 ซ.ม. ยาว 2 ซ.ม.เรียกว่า หูใบตรงกลางของใบเป็นสีขาว
ดอก เล็กๆ คล้ายดอกถั่วแปบ แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกสีม่วง-ขาว คล้ายสีดอกผักตบ
ฝัก แบนๆ กว้าง 3 ซ.ม. ยาว 2.5 ซ.ม. ในฝักมีเมล็ดตั้งแต่ 2-3 เมล็ด สีดำคล้ายเมล็ดถั่วดำ ขนาดโตราวก้านไม้ขีดไฟ
ว่านนี้ไม่ใช่พืชลงหัวเหมือนอย่างว่านทั้งหลาย ใบย่อยหรือหูใบทั้งสองที่โคนใบใหญ่นั้นกระดุกกระดิกได้ มีความรู้สึกเมื่อได้ยินเสียงปรบมือเป็นจังหวะทุกครั้ง ถึงแม้จะปลูกไว้ในกระถางแล้วนำไปตั้งในตู้กระจก ไม่ให้มีลมพัดก็ตาม เมื่อมีเสียงปรบมือให้จังหวะ ใบย่อย (หูใบ) ทั้งสองจะกระดุกกระดิกไหวได้ตามจังหวะที่เราปรบมือ

ประโยชน์ทางยา
เป็นยารสเย็น แก้ฝีภายใน (ฝีในท้อง) ต่างๆ

ความน่าเชื่อถือ
ว่านนี้ปลูกไว้ ณ บ้านใด กล่าวกันว่าจะเกิดเมตตามหานิยม จะกวักเงินเอาทองมาสู่บ้านนั้นเนืองๆ

วิธีปลูก
ใช้เมล็ดเพาะ หรือปลูกด้วยกิ่งตอน ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย นิยมปลูกกระถางชอบร่มรำไร เป็นไม้ที่ปลูกไว้ดูเล่นแปลกๆ



9.ว่านงาช้าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Sansiviera intermidia (N.E.Br.)
วงศ์เต็งช้างเผือก Liliaceae
ลักษณะ เป็นว่านที่ไม่มีใบ เหมือนว่านชนิดอื่นๆ อยู่ๆ ก็มีลำเหมือนงาช้างสีเขียวแทงโผล่ขึ้นมาเหนือดิน ทุกๆหน่อแทงขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน เป็นกอ ไม่มีกิ่งก้านสาขาแต่อย่างใด มีอยู่ 2 ชนิด
ชนิดหนึ่งมีสีเขียวล้วนเรียก งาช้างเขียวหรือ หอกสุรกาฬ
อีกชนิดหนึ่ง สีเขียวลายดำคล้ายกับ ว่านหางนาคเรียก งาช้างลายหรือ หอกสุรโกฬ

ประโยชน์ทางยา
น้ำคั้นจากราก เป็นยาเบื่อพยาธิ รักษารีดสีดวงงอกได้
ชาวมาเลย์ตัดเอาปลายไปอังไฟก่อนแล้วบีบเอาน้ำกรอกหู แก้ปวดหู
ชาวอินโดนีเซีย คั้นเอาน้ำไปทาผม เป็นยาบำรุงรากผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม

วิธีปลูก
ใช้หัว หรือหน่อแยกปลูก โดยใช้ดินปนทราย



10.ว่านขมิ้น

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Curcuma cacsia
ชื่อพร้อง Curcuma Zedoaria (Rose)
วงศ์ขิง Zingiberaceae
ว่านขมิ้นนี้ครั้งโบราณรู้จักกันเพียง 2 ชนิด คือ ชนิดมีลำต้นและหัว มีสีขาวกับสีแดง ซึ่งพบมากในป่าแถบตะวันออก ที่มีความชุ่มชื่นมาก ครั้งล่วงมาในระยะหลังๆเกิดมีว่านขมิ้นเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด เข้าใจว่าเป็นลูกผสมของว่านขมิ้นทั้งสองนี้ เท่าที่รู้จักกันก็มี

-ขมิ้นอ้อย
-ขมิ้นขม
-ขมิ้นขาว
-ขมิ้นดำ
-ขมิ้นแดง

ก.ขมิ้นอ้อยหรือว่านเหลือง
ชื่อสามัญ ขมิ้นอ้อย,ขมิ้นหัวขึ้น,เสมียด(เขมร) ,รักเชื่อ(ละว้า) ,ว่านเหลือง ว่านขมิ้น
ลักษณะ ใบ โตกว่ากระชาย เป็นพืชลงหัวใต้ดินเจริญงอกงามทางใบในฤดูฝน ใบโทรมในฤดูแล้ง
หัว คือลำต้นใต้ดิน (Rhizome) มีลักษณะเป็นแง่งคล้ายขิง เมื่อใบโทรมแล้ว แง่ง(หัว) จะสะสมอาหารไว้
มีแขนงเล็กๆแตกอยู่ในดินมากมาย แง่งโตกว่าว่านขมิ้นด้วยกัน

ประโยชน์ทางยา
หัว(แง่ง) มีรสฝาดเฝื่อน แก้ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว รักษาลำไส้ แก้พิษโลหิต แก้ลม แก้บวม แก้เสมหะ
แก้ไข้ทั้งปวง ใช้เป็นตัวยาคุมฤทธิ์ยาอื่นๆที่ทำให้ระบายมากเกินไป
หัวขมิ้นอ้อย เป็นยาขับเบา แก้ระดูขาวตกหนัก แก้หนองใน เป็นยาชำระโลหิต ในหัวขมิ้นอ้อยมีสารชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์บำรุงกำลัง ขับลมในท้อง แก้ปวดท้อง
หัวขมิ้นอ้อยโขลกละเอียด ใช้พอกแก้อาการบวม ฟอกช้ำ ข้อเคล็ดอักเสบ บรรเทาอาการปวดได้
หัวขมิ้นอ้อย / พริกหาง / อบเชยเทศ ต้มกับน้ำผึ้ง รับประทานแก้โรคหวัดได้ผลดี
หัวขมิ้นอ้อยผสมกับตัวยาอื่นๆ แก้โรคต่างๆได้อีกมาก ผสมกับน้ำซาวข้าวทาบริเวณที่ถูกพิษว่านต่างๆจะแก้ได้

ความน่าเชื่อถือ
เชื่อกันว่า หากจะให้คงกระพันชาตรี ท่านให้เอาหัวขมิ้นอ้อยมาเสกด้วยคาถา อิกะวิติโอม พญาขมิ้น ลิ้นกูเป็นทองแดง ตับกูแข็งดังศิลาแลง หัวกูแข็งยิ่งกว่าคนทั้งหลาย เดชะคุณครูประสิทธิ์ให้กูโอมสวาหะให้เสก 3 คาบ 7 คาบ จึงเคี้ยวกินหัวขมิ้นอ้อยนั้น หรือเก็บติดตัวไว้

วิธีปลูก
ปลูกด้วยหัวหรือแง่ง ปลูกลงดินชายร่มไม้มีแสงแดดรำไร ชอบดินร่วนโปร่งมีใบไม้ผุๆ เช่นเดียวกับขิง

ข. ว่านขมิ้นขม
ลักษณะ ต้นใบและหัวทั่วๆไปเหมือนขมิ้นอื่นๆ ต่างกันตรงที่เนื้อภายในหัวมีสีขาว มีรสขมอ่อนกว่าบอระเพ็ดเล็กน้อย

ประโยชน์ทางยา
ใช้ฝนกับเหล้า หรือโขลกกับเหล้า รับประทานแก้ดีพิการ

วิธีปลูก เหมือนกับขมิ้นอื่นๆ

ค.ว่านขมิ้นแดง
ชื่ออื่น ว่านปัดตลอด
ลักษณะ คล้ายขมิ้นธรรมดาทุกอย่าง ต่างกันที่ใบยาวและแคบกว่า
หัวมีไหลยื่นยาว แตกหน่อยื่นยาวไกลจากต้นเดิม หัวโตกว่าขมิ้นธรรมดา 2 เท่า ติดกันเป็นแง่งซ้อนกัน 3-4 ชั้น จนดูขนาดของแง่งใหญ่ มีลายเป็นข้อๆ ที่หัวของว่าน รสเผ็ดมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย
บางท่านเรียก ว่านปัดตลอดมีวิธีทดสอบว่าจะเป็นว่านขมิ้นแดงหรือไม่ ให้ใช้มีดตัดหัวว่านทั้งสองข้าง เอาปูนแดงป้ายทางด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งที่ไม่ถูกป้ายจะพลอยแดงไปด้วย นั่นแสดงว่าเป็นว่านขมิ้นแดงอย่างแท้จริง

ความน่าเชื่อถือ
ใช้เป็นยาบำรุงกำลังและคงกระพันชาตรี
วิธีปลูก ชอบดินร่วนปนทราย ขยายพันธุ์โดยใช้หัวหรือแง่งปลูก
เสกคาถา อิติปิโสภควาจนถึง ภควาติ 1 จบ ก่อนรดน้ำ

ง. ว่านขมิ้นขาว (Curcuma parvifloa Wall.)
ลักษณะ คล้ายขมิ้นชนิดอื่นๆ หากแต่ใบแคบเรียวมีไหลยื่นยาวออกไปแตกหน่อไกลจากต้นเดิม
หัว เล็กกว่ากระชายแดง เนื้อในหัวเป็นสีขาว ไม่ใช้สีเหลืองเช่นขมิ้นธรรมดา มีกลิ่นฉุนกว่าขมิ้นธรรมดาเล็กน้อย มีลายเป็นข้อๆ ระยะห่างของลายราวครึ่งนิ้วที่แง่ง(หัว)
ว่านขมิ้นขาวชนิดนี้ต่างกับขมิ้นขาวที่รับประทานกับปลาร้าหรือใส่แกง

ประโยชน์ทางยา
เคี้ยวกินแง่งสดๆ ยาว 1 นิ้ว ดื่มน้ำอุ่นตาม มีสรรพคุณ แก้ปวดท้อง ลงท้องอย่างแรง

ความน่าเชื่อถือ
เป็นว่านที่มีสรรพคุณรอบด้าน ใช้เป็นว่านเสน่ห์มหานิยม คงกระพันชาตรี และเป็นยาอายุวัฒนะขนานเอกอีกด้วย กล่าวกันว่า เพียงแต่พกพาหัวว่านขมิ้นขาวติดตัวไปจะทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง ปกป้องคุ้มครองภยันตรายทั้งปวง ก่อนจะใช้ทางด้านใด ต้องเสกด้วยคาถา นะโมพุทธายะ มหาลาโภโหตุ ภวันตุเม” 3 จบเสมอ

วิธีปลูก
ขยายพันธุ์ด้วยหัวหรือแง่ง ชอบดินร่วนปนทราย โดยวางแง่งนอนตามขวางกลางกระถาง กลบดินบางๆ ทับ หากต้องการปริมาณมาก ต้องขุดดินยกแปลง วางแง่งเรียงรายเป็นระยะๆ ตลอดมูลดิน
เสกคาถา อิติปิโสภควา จนถึงภควาติ” 1 จบก่อนรดน้ำ ควรปลูกในวันพฤหัสฯ หรือวันเสาร์ข้างขึ้น จึงจะนับว่าดี

จ.ว่านขมิ้นดำ (Curcuma sp.)
ลักษณะ ต้น ใบ และ หัว เหมือนขมิ้นอ้อยทุกประการต่างกันตรงที่หน่อตอนงอนขึ้นมาใหม่ๆ จะมีสีแดงเรื่อๆ กระดูกหลังใบมีสีน้ำตาลไหม้เป็นทางตลอด เรื่อยไปจนถึงปลายใบ หัวมีเนื้อในสีเขียวออกดำ

ประโยชน์ทางยา
ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิในท้อง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ

วิธีปลูก ปลูกเหมือนขมิ้นธรรมดาทั่วๆไป แต่ควรใช้ดินสีดำเป็นดินปลูกจึงจะดี



11.ว่านกระชายแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia sp.
วงศ์ขิง Zingibenaceae
ลักษณะ หัว เป็นลำตันใต้ดิน (Rhizome) เลี้อยยาวออกหน่อไปไกลจากต้นเดิมแบบขมิ้นขาว
มีตุ่มกลมๆที่ราก ปลายโคนอ้วนรีถึงหัว เป็นที่เก็บน้ำและอาหาร
ใบ เหมือนใบขมิ้น กาบใบแดง ท้องใบแดง หลังใบสีเขียวหม่นเป็นนวล เมื่อต้องแสงแดด
จะสะท้อนแสงได้เหมือนมีพรายปรอท

ประโยชน์ทางยา
ล้างหัวว่านให้สะอาด นำไปตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกอนขนาดเมล็ดนุ่น
รับประทานก่อนอาหารเช้าเย็นมื้อละ 1 เม็ด โรคภัยไข้เจ็บประดามีจะปลาสนาการไปสิ้น

ความน่าเชื่อเถือ
กระชายใช้เป็นยาบำรุงความกำหนัดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้โรคภัยไข้เจ็บ
ถูกคุณไสย ถูกกระทำหรือใช้ในทางคงกระพันชาตรีได้วิเศษยิ่ง

วิธีปลูก
ใช้ดินแดงร่วน หรือดินลูกรังปลูก วางหัวว่านตรงกลางกระถางให้โผล่จากดินขึ้นมาเล็กน้อย
รดน้ำที่เสกคาถา นะโมพุทธายะ” 3 จบ พอให้ดินเปียกชุ่ม อย่าให้ถึงโชกหรือแฉะ เพราะจะทำให้
หัวว่านฝ่อเสีย

 

12.ว่านกระชายดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia sp.
วงศ์ขิง Zingiberaceae
ลักษณะ หัว ลำต้น และใบเหมือนกระชาย
หัว เป็นปุ่มๆ ไม่มีไหลเหมือนกระชาย ขยายหัวจากรากเนื้อในหัวเป็นสีขาว สีลูกหว้า สีน้ำเงิน
และสีดำอ่อน ตลอดจนสีดำแก่ ต่างๆกันสุดแต่อากาศและชนิดของดินที่ใช้ปลูก
ใบ เมื่อยอดแตกจากหัวขึ้นมาใหม่ ตอนแรกใบจะม้วนขึ้นมาก่อน แล้วคลี่ใบตอนหลังใบคล้ายกับ
กระชายแดง
ดอก แทงเป็นกรวยขึ้นข้างลำต้น ตรงปลายกรวยจะมีดอกสีขาวออกมาวันละ 2-3 ดอก
เกสรสีม่วง ออกดอกไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดในกรวยเนื้อในหัว แล้วแต่ดินฟ้าอากาศและดินที่ใช้ปลูก

ประโยชน์ทางยา
แก้ลมทุกชนิด แก้บิด แก้ป่วง เคี้ยวหัว ยาวประมาณ 1 นิ้ว จะมีรสเผ็ดนิดๆฝาดๆมันๆดื่มน้ำอุ่นตามครึ่งแก้ว อาการปวดท้อง ท้องเดินจะหยุดได้
ใช้กวาดคอแก้ตานทรางในโรคเด็ก
นำหัวมาปลอกปิ้งไฟพอร้อนแช่ในเหล้า หมกข้าวเปลือกไว้ 3 วัน3 คืน จึงเอาหัวมาบีบเอาแต่น้ำหยอดตา แก้โรคตาต่างๆ

ความน่าเชื่อถือ
ตำหัวกระชายดำป่นแหลกจนเป็นผง ผสมน้ำผึ้งปั่นเป็นลูกกอน หมั่นรับประทานอยู่เสมอ เชื่อกันว่าเป็น
ยาอายุวัฒนะและคงกระพันชาตรีอีกด้วย

วิธีปลูก
ใช้ดินดำร่วนผสมใบไม้ผุนำมาเป็นดินปลูกหรือจะใช้ผงถ่านด้วยก็ได้เพื่อให้เนื้อในหัวดำ
ว่านกระชายดำมี 2 ชนิด คือ ชนิดต้นเขียว กับ ชนิดต้นแดง
ชนิดต้นแดง เนื้อในหัวจะดำกว่าชนิดต้นเขียว สรรพคุณเหมือนกัน เพียงแต่แรงมากน้อยกว่ากันเท่านั้น
ใช้หัวปลูก อย่ากลบดินให้มิดหัวว่าน รดน้ำให้ชุ่มแต่พอควร
บางตำรากล่าวว่า เวลารดน้ำต้องเสกด้วยคาถา นะโมพุทธายะ”3 จบทุกครั้ง

 

13.ว่านกระแจะจันทน์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia sp.
วงศ์ขิง Zingiberaceae
ลักษณะ อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเปราะ
หัว คล้ายเปราะแต่กลมและโตกว่า มีสีเขียวปนน้ำตาล
ใบ กลมโตกว่าเปราะ หลังใบสีเขียวเป็นมันท้องใบขาว มีสีแดงปนม่วงตามขอบใบและปลายใบ
ทั้งหัวและใบมีกลิ่นหอมเย็น
ดอก สีขาวตรงกลางดอกประแต้มสีแดงปนม่วง
ลักษณะทั่วไปคล้ายกับว่านเสน่ห์จันทน์หอมต่างกันที่หลังใบของว่านกระแจจันทน์เขียวจัด และเป็นมัน
ส่วนว่านเสน่ห์จันทน์หอม หลังใบสีเขียวอ่อนใบโต และกว้างกว่า
ถิ่นกำเนิด เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า

ความเชื่อถือ
ปลูกไว้เป็นสิ่งเมตตามหานิยม ถ้าปลูกไว้ในบ้านหรือร้านค้า ทำให้เกิดเสน่ห์มหานิยม ผู้คนเข้าร้านมิได้ขาดบันดาลโชคลาภอยู่เนืองๆ ผสมเป็นสีผึ้งโดยเคี่ยวกับน้ำมันจันทน์ทำเป็นน้ำหอม สำหรับทาตัวเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ หรือขณะนำสินค้าเร่ขายทั่วไป จะเป็นเสน่ห์เกิดความเอ็นดูแก่ผู้พบเห็น
ก่อนที่จะใช้ให้หัวแช่น้ำมันจันทน์หรือหุงน้ำมันให้เสกด้วยคาถา มะอะอุ พุทธสังมิ จีเจรุนิ นะชาลีติ
ปิยังมะมะ มะมหาลาโภโหตุ ภะวันตุเม” 3 จบเสมอแม้แต่พกพาว่านติดตัวก็วิเศษและได้ผลดีมาแล้ว

วิธีปลูก
ใช้ดินปนทรายหยาบ ควรเป็นดินกลางแจ้งที่สะอาดหรือนำดินไปเผาไฟและทุบละเอียด
ทิ้งตากน้ำค้างไว้หนึ่งคืน เป็นดินปลูก
กระถางปลูกควรเป็นกระถางทรงต่ำปากกว้างจะน่าดูเพราะต้นไม่สูงใบแจ้เรี่ยดิน จะปลูกใส่กระถาง
แขวนก็งดงามน่ารัก
ใส่ดินที่เตรียมไว้ลงกระถางเกือบเต็มวางหัวว่านตรงกลางกระถาง กลบดินพอมิดหัว หรือให้หัวโผล่
พ้นดินเล็กน้อยอย่ากดดินให้แน่นมากนัก รดน้ำแต่พอชุ่มอย่าให้ถึงเปียกโชก เพียงไม่กี่วันใบอ่อน
จะแตกออกมาจากหัวว่าน เมื่อใบโตคลุมกระถาง ต้องใช้ขันตักน้ำรดตรงกลางกอ น้ำที่รดจะได้ถึงดิน
ควรปลูกในวันจันทน์หรือวันศุกร์ข้างขึ้น
หนังสืออ้างอิง ต้นไม้เพื่อชีวิต ๑ เขียนโดย ร.ศ. สุนทร ปุณโณทก
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
สำนักพิมพ์ ภาษิต 81/8 เพชรเกษม ข้างธนาคารกสิกรไทย บางแค กทม.
โทร. 02-4131211-4

 

14.ว่านหางช้าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Belamcanpa chinensis. DC. วงศ์ Iridaceae
ชื่ออื่น ว่านแม่ยับ
ว่านนี้โดยธรรมชาติชอบขึ้นตามริมห้วย หนอง คลอง บึง และสระ มีปลูกตามบ้าน ตามสวน และวัดบ้างเพื่อใช้ทำยา

ลักษณะ เป็นไม้ขนาดเล็ก
ลำต้น กลมอยู่ใต้ดินเป็นข้อๆ
ใบ แบนคล้ายใบว่านน้ำ แตกจากลำต้นยาวประมาณ 50-60 ซ.ม. ใบคลี่เป็นแผงคล้ายกล้วยพัด ใบมีสีเขียวเข้ม ใบยาวขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมรูปคล้ายหอก
ดอก สีเหลือง ส้ม ประแต้มสีแดง ออกเป็นช่อ ดูสวยงามมาก

ประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนโบราณใช้เนื้อในต้นเป็นยาบำรุงธาตุ แก้โรคกระดูกพิการในสตรี ใช้บำบัดโรคทอลซินอักเสบ และใช้เป็นยาถ่าย

ความเชื่อถือ
ปลูกไว้ในบ้าน ป้องกันภัยอันตรายต่างๆในทางคุณไสย เช่น
ดอก ใช้แก้คุณไสยที่เกิดจากการกระทำจากผม
ใบ ใช้แก้คุณไสที่เกิดจาการกระทำจากเนื้อต้น ใช้แก้คุณไสยที่เกิดจากการกระทำจากหนัง
ราก ใช้แก้คุณไสยที่เกิดจากการกระทำจากกระดูก
ในภาคอีสาน นิยมปลูกว่านนี้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้าน หญิงกำลังคลอดบุตรใช้ใบว่านนี้พัดโบกที่หลัง เพื่อให้คลอดลูกง่ายขึ้น

วิธีปลูก
สืบพันธุ์ด้วยหน่อ แยกหน่อปลูก ปลูกในกระถางที่ใส่ดินร่วน อย่ากดดินแน่น อย่าให้ดินขังน้ำจนแฉะหัวจะเน่า ก่อนรดน้ำเสดด้วยคาถา สัพเพเตโรคา สัพเพเตอันตรายา สัพเพเตอุปัททวา สัพเพเตทุนนิมิตตา อวมังคลาวินาสสันตุๆ” 1 จบ จะใช้ทางใดให้ใช้คาถาบทนี้

 

15.ว่านแสงอาทิตย์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Haemanthus multiflorus, Martyer.
วงศ์ Amaryllidaceae
ชื่ออื่น ว่านแสงไฟ
ลักษณะ ส่วนต่างๆทั่วไปคล้ายต้นพุทธรักษา
ใบ เหมือนใบกล้วย หลังใบสีเขียวนวล มีพรายปรอท ปกติท้องใบและกาบใบมีสีแดงเรื่อๆ เมื่อถูกไฟหรือแสงอาทิตย์ใบจะห่อ ท้องใบจะเป็นสีแดงคล้ำคล้ายสีเม็ดมะปราง มีเงาะสะท้อนเป็นประกายแสงออกมา
หัว ออกหน่อติดต่อกันคล้ายข่า หัวใหญ่คล้ายกับว่านแสงทอง แต่มีสีแดง ขอให้สังเกตว่า ต้นแดง ยอดแดงและตามก้านใบก็แดงตลอดไปทั้งก้าน ชอบขึ้นในที่เย็นๆมีแสงแดดส่องถูกรำไร เป็นว่านที่ขึ้นงอกงามอยู่ได้ทั้งปีไม่โทรมในฤดูหนาวหรือฤดูร้อนเช่นว่านอื่นๆ

ความน่าเชื่อเถือ
เป็นว่านที่มีความเชื่อถือกันต่อๆว่า มีอิทธิฤทธิ์มาก ใครปลูกไว้ได้มีค่ามหาศาล เมื่อเวลาจะไปเอาว่านนี้ ตามตำราท่านว่าให้ถือศีลห้าศีลแปดเสียก่อน ระวังอย่าให้เอาว่านทับตัวเราได้
ขณะขุดต้องภาวนาคาถา อิติปิโสภควา จนถึงภควาติ” 3 จบ แล้วจึงขุดว่านนี้มาได้
เวลาใช้ว่านนี้ ไม่ว่าจะฝนหรือกิน หรือนำติดตัวไปที่ใดๆต้องว่าคาถากำกับ เพื่อก่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์แน่วแน่และมั่นคงจริงๆคือ นโมพุทธายะ” 3 จบ หรือว่า อิติปิโสภควา จนถึงภควาติ” 3 จบ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะว่าทั้งสองอย่างๆ 3 จบ สลับกันไปก็ได้แล้วจึงนำไปทำตามความประสงค์ จะประสิทธิผลทุกอย่าง

วิธีปลูก ใช้ดินทรายหรือดินแดงปลูกหัวว่าน อย่ากดหัวว่านให้แน่นเกินไปนัก ก่อนรดน้ำเสกด้วยคาถา นะโมพุทธายะ” 3 จบ จึงค่อยรด แต่อย่าให้โชก ควรระวังอย่าให้สิ่งโสโครกสกปรกและไม่เป็นสิริมงคลเข้ากรายใกล้บริเวณสถานที่ปลูกว่านเป็นอันขาด ควรปลูกในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น

 

16.ว่านเสน่ห์จันทน์

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Homalomena rubescens, kunih.
วงศ์บอน
ลักษณะ โดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายกับว่านเสน่ห์จันทน์ขาว ผิดกันที่โคนต้น และก้านใบของเสน่ห์จันทน์แดงเป็นสีแดง ใบสีเขียวมัว ดอกคล้ายดอกจำปีตูม มีสีออกแดงตามชื่อ

ความน่าเชื่อถือ
ปลูกไว้เป็นเสน่ห์แก่บ้านเช่นเดียวกับว่านเสน่ห์จันทน์ขาว นิยมปลูกทั้ง 3 ชนิด ว่านเสน่ห์จันทน์ขาว ว่านเสน่ห์จันทน์เขียว ว่านเสน่ห์จันทน์แดง

วิธีปลูก
ใช้อิฐเผาไฟทุบละเอียดเป็นเครื่องปลูก หรือใช้ดินผสมทรายปลูกก็ได้ ปฏิบัติเช่นเดียวกับว่านเสน่ห์จันทน์ขาวและว่านเสน่ห์จันทน์เขียว
หนังสืออ้างอิง ต้นไม้เพื่อชีวิต ๑ เขียนโดย ร.ศ. สุนทร ปุณโณทก
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
สำนักพิมพ์ ภาษิต 81/8 เพชรเกษม ข้างธนาคารกสิกรไทย บางแค กทม.
โทร. 02-4131211-4

17.ว่านเสน่ห์จันทน์เขียว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalomena sp.
วงศ์บอน Araceae
ว่านเสน่ห์จันเขียวแบ่งเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะของกลิ่น กล่าวคือ ชนิดหนึ่งหอมมาก อีกชนิดหนึ่งหอมน้อย

ลักษณะ ต้นและใบคล้ายกับว่านเสน่ห์จันทน์ขาวหรือแดงผิดกันตรงที่ก้านและใบที่มีสีเขียวล้วน รูปใบค่อนข้างกลมสั้นกว่าทั้ง 2 ชนิด

ความน่าเชื่อถือ
ใช้เช่นเดียวกับว่านเสน่ห์จันทน์ขาว มีคุณในทางเกิดเสน่ห์ให้ผลทางทำการค้าขาย

วิธีการปลูก
ใช้อิฐเผาไฟทุบละเอียดเป็นดินปลูกเช่นเดียวกับปลูกว่านเสน่ห์จันทน์อื่นๆ
ข้อควรระวัง ต้นเต่าเขียด กับว่านเสน่ห์จันทน์เขียว คล้ายคลึงกันมาก เพราะเป็นพืชในสกุลเดียวกัน ต้องพิจารณาดูให้ดีหัวของต้นเต่าเขียดมีกลิ่นฉุนร้อน มีคุณในทางรักษาโรค ส่วนที่ต้นและใบไม่มีกลิ่นเลย

หนังสืออ้างอิง ต้นไม้เพื่อชีวิต ๑ เขียนโดย ร.ศ. สุนทร ปุณโณทก
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
สำนักพิมพ์ ภาษิต 81/8 เพชรเกษม ข้างธนาคารกสิกรไทย บางแค กทม.
โทร. 02-4131211-4

 

18.ว่านเสน่ห์จันทน์ขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalomena sp.
วงศ์บอน Araceae
ลักษณะ ใบ รูปใบโพธิ์ ก้านใบและกระดูกใบ (เส้นกลางใบ) ขาว ใบแตกขึ้นมาจากหัวดิน
หัว มีครีบ กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นจันทน์
ลำต้น ขึ้นเป็นกอคล้ายบอน

ความน่าเชื่อถือ
ในสมัยโบราณนิยมกันว่า เป็นว่านเชิงเสน่ห์ในระหว่างชายและหญิงมาก ช่วยให้เกิดเมตตาเกิดเสน่ห์ ตลอดจนคงกระพันชาตรี บ้านเรือนใดปลูกเอาไว้ เชื่อกันว่า สามารถดึงดูดผู้คนให้ไปหา พ่อค้าแม่ขาย นิยมนำหัวว่านเสน่ห์จันทน์ขาวมาแกะเป็นรูปนางกวัก ระหว่างแกะก็บริกรรมคาถา นโมพุทธายะเรื่อยไปจนกว่าแกะเสร็จ จึงนำรูปที่แกะได้นั้นใส่ในขันลงหิน ล้างให้สะอาด แล้วจึงเทน้ำมันจันทน์ (บริกรรมคาถา นโมพุทธายะประกอบด้วย) เอาขันน้ำมันขึ้นตั้งไฟ บริกรรมคาถา อิติปิโสภควา จนถึง ภควาติให้ได้ 100 จบ และบริกรรมคาถา นโมพุทธายะอีก 100 จบ สลับกันไปจนกว่าน้ำมันจะเดือด จึงนำรูปนางกวักขึ้นเวียนประทักษิณ (เวียนขวา) 3 รอบ จากนั้นนำรูปนางกวักใส่โถบูชาไว้ที่สูงภายในร้านค้า จะทำให้กิจการร้านค้าเจริญรุ่งเรือง มีลูกค้าเฝ้าเวียนมาอุดหนุนไม่ขาดสาย

วิธีปลูก
ใช้อิฐเผาไฟทุบแหลกละเอียด ตากน้ำค้างคืนหนึ่ง จึงนำมาใช้เป็นดินปลูก เอาดินใส่กระถางครึ่งกระถาง วางหัวว่านกลบกินพอมิดหัว โผล่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องกลบดินแน่น เสกด้วยคาถา นโมพุทธายะ” 3 จบ เอาน้ำมารดพอให้ดินเปียกชุ่ม วางตั้งกระถางไว้ในที่ร่มเย็น แสงแดดส่องรำไร เป็นไม้เลี้ยงยาก เมื่อเจริญงอกงามดีแล้ว จะทรงอยู่ได้ตลอดปี

หนังสืออ้างอิง ต้นไม้เพื่อชีวิต ๑ เขียนโดย ร.ศ. สุนทร ปุณโณทก
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
สำนักพิมพ์ ภาษิต 81/8 เพชรเกษม ข้างธนาคารกสิกรไทย บางแค กทม.
โทร. 02-4131211-4

 

19.ว่านเสนห์จันทน์มหาโพธิ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalomena sp.
วงศ์บอน Arazceae
เป็นว่านที่เล่นกันมาทุกยุคทุกสมัย ในประวัติศาสตร์ยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นิยมเล่นกันสูงสุดในรัชสมัยขุนวรวงษาธิราช และสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เล่นกันเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เป็นว่านที่หายากราคาแพง

ลักษณะ ต้นและก้านใบคล้ายอุตพิต รูปใบเหมือนใบโพธิ์หรือใบหน้าวัว ต่างกันที่ใบใหญ่กว่ามาก หลังใบมีสีเขียวอ่อน ท้องใบนวลขาว กระดูกใบ (เส้นกลางใบ) สีขาวแกมเขียวอ่อน ยอดเหมือนพลับพลึง ว่านชนิดนี้มีกลิ่นจันทน์ หอมทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นใบ ก้านใบ หัวและราก มีกลิ่นหอมยิ่งกว่าเสน่ห์ใดๆ
ดอกคล้ายดอกจำปีตูม

ความเชื่อถือ
บูรพาจารย์กล่าวไว้ว่า เมื่อถึงคราวจะขุดว่านเสน่ห์จันทน์มหาโพธิ์ ท่านให้เสกคาถา นโมพุทธายะ” 3 จบ รดน้ำที่เสกรอบต้นประพรมน้ำที่เสกให้หมด เย็บกระทง 3 มุม ใส่หมาก 3 คำ เบี้ย 3 เบี้ย กุ้งพล่าปลายำบัดพลีเสียก่อน จึงค่อยขุดขึ้นมา
แกะหัวว่านเป็นรูปเบี้ย 5-8 เบี้ย ใส่ในขันน้ำจันทน์ จนท่วมเบี้ย เสกด้วยคาถา อิติปิโสภควา จนถึงภควาติให้เสกพันจบ ทำบายศรีซ้ายขวา เวลาเสกต้องทำพิธีในโบสถ์ ต้องถือศีลห้าศีลแปด เสกน้ำชำระตัว 3 วัน ให้หมดมลทินโทษทั้งปวง จึงเอาหัวใส่มือเสกเบี้ยนี้ทักษิณาวัตรรอบปากขัน เสร์จแล้วจึงเอาเบี้ยนั้นไปเล่นการพนันจะเล่นได้เสมอ
ถ้าจะใช้ให้เป็นเสน่ห์ ให้เอาหัวว่านมาแกะเป็นรูปพระใส่ในขันสำริด เทน้ำมันจันทน์ใส่เสกด้วยคาถา อิติปิโสภควา จนถึงภควาติจับพันครั้ง แล้วเสกด้วย นโมพุทธายะอีกพับครึ่งสลับ จนกระทั้งน้ำเดือดขึ้นมา ให้นำรูปพระประทักษิณให้รอบปากขัน
เอาน้ำมันนั้นทาหน้าผาก จะไปไหนสาระทิศใดพบปะชายหญิงทุกผู้รักใครสนิทสนม ต้อนรับขับสู้กลิ่นน้ำมันหอมไปถึงไหน ผู้คนจะเกิดเมตตาเอ็นดูรักใคร่ทุกๆแห่ง ถ้าเอาน้ำมันทาตัวให้ทั่วจะเกิดจังงัง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากอุปัทวันตราย
หากเอาน้ำมันใส่ศีรษะและมือแล้ว ไปกระทำกิจการงานใด จะสำเร็จสมดังใจปรารถนา ยิ่งเชิญพระเข้าห่อผ้าโพกศีรษะเอาน้ำมันทากระหม่อมทาหน้าผาก บริกรรมคาถา นโมพุทธายะจะเกิดจังงังและหายตัวไป ไม่มีใครจับตัวได้เลย

วิธีปลูก
ใช้ดินร่วนผสมอิฐเผาไฟที่ทุบละเอียด นำไปวางตากน้ำค้างทิ้งไว้ 1 คืน จึงเอามาใช้เป็นดินปลูก ว่างหัวว่านลงกลางกระถางที่ใส่ดินขึ้นครึ่งกระถางกรบดินพอให้หัวโผล่พ้นดินขึ้นมาเล็กน้อย รดน้ำพอเปียกชุ่ม กดดินพอแน่น เมื่องอกงามดีแล้ว จึงโยกย้ายกระถางว่าน นำไปตั้งวางในที่ร่มเย็น เช่นใต้ร่มไม้ พอให้แสงส่องลงมาได้รำไร
ว่านนี้ไม่มีการโทรมเหมือนว่านอื่นๆ ทรงตัวอยู่ได้ตลอดปี

หนังสืออ้างอิง ต้นไม้เพื่อชีวิต ๑ เขียนโดย ร.ศ. สุนทร ปุณโณทก
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
สำนักพิมพ์ ภาษิต 81/8 เพชรเกษม ข้างธนาคารกสิกรไทย บางแค กทม.
โทร. 02-4131211-4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น